ลำดับขั้นการเขียนแบบภาพฉาย
ภาพตู้ยา
1.1 ให้ภาพที่มีรายละเอียดมากที่สุดเป็นด้านหน้ารูปออบลิคเป็นแบบภาพสามมิติอีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับรูปไอโซเมตริก ส่วนที่แตกต่างกันคือ ภาพออบลิคจะแสดงด้านหน้าตรงๆ ส่วนด้านข้างจะทำมุม 45 องศา เพียงด้านเดียว คือด้านขวามือ เนื่องจากภาพออบลิคแสดงด้านหน้าได้ชัดเจนดี จึงนิยมเขียนภาพที่มีรายละเอียดด้านหน้ามาก ๆ
- ลำดับขั้นการเขียนแบบภาพออบลิค
2.1 ให้เขียนภาพด้านหน้าก่อน
2.2 ขีดเส้นด้านข้าง 45 องศา
2.3 ขีดเส้นตั้งฉากและเส้นระนาบให้ครบ
2.4 จะได้ภาพออบลิค
ข้อสังเกตในการเขียนแบบภาพออบลิค
1. มุมที่ใช้ในการเขียนแบบภาพออบลิคจะมีเพียง 2 มุมเท่านั้นคือ 45, 90 เส้นที่ขีดทำมุมด้านขวามือจะเป็นมุม 45 องศา ส่วนเส้นที่ลากขึ้นหรือลากลงจะเป็นมุม 90 องศา
2. เส้นที่ขีดจะเป็นเส้นขนานกันโดยตลอดคือ เส้นที่ลากทำมุมด้านขวาก็จะขนานกันกับด้านขวา เส้นที่ลากด้านซ้ายเป็นเส้นระนาบ และเส้นที่ลากขึ้นหรือลงก็จะขนานกัน
3. การเขียนเส้นระนาบเส้นแรกควรให้อยู่ด้านล่างเพราะภาพที่เขียนจะอยู่ด้านบนและควรคำนึงถึงความสูงของภาพด้วย
4. ก่อนที่จะเขียนเส้นตั้งฉากจะต้องคำนึงถึงความยาวด้านหน้าของภาพด้วย
ตัวอย่างภาพออบบริค
ที่มา : หนังสือเรียนงานช่างม.1-ม.3 สำนักพิมพ์วัฒนาพานิชย์
3. การเขียนภาพไอโซเมตริกที่มา : หนังสือเรียนงานช่างม.1-ม.3 สำนักพิมพ์วัฒนาพานิชย์
การเขียนแบบภาพไอโซเมตริกเป็นภาพลักษณะสามมิติอีกแบบหนึ่งของการเขียนแบบ มีลักษณะเป็นภาพที่มองเห็นจากมุมที่กำหนดเป็นจุดเริ่มต้น การสร้างภาพไอโซเมตริกนี้จึงเป็นการวัดเอาขนาดกว้าง ยาว ของด้านต่าง ๆ มาเป็นขนาดในภาพนั้นเอง การเขียนแบบภาพไอโซเมตริกนี้จะแสดงการเขียนโดยใช้มุมทั้งสองข้างเท่ากัน คือ เป็นมุม 30 องศา โดยวัดจากเส้นระนาบ
ลำดับขั้นตอนการเขียนแบบภาพไอโซเมตริก
3.1 ขีดเส้นระนาบ
3.1 ขีดเส้นระนาบ
3.2 ขีดเส้นตั้งฉากและ 30 องศา ซ้ายและขวา
- 3.3 ขีดเส้นตั้งฉากและ 30 องศา ซ้ายและขวา
- 3.4 ขีดเส้น 30 องศา ซ้ายและขวา
- ข้อสังเกตในการเขียนแบบภาพไอโซเมตริก
1. มุมที่ใช้ในการเขียนแบบภาพไอโซเมตริกนี้จะมีเพียง 2 มุมเท่านั้นคือมุม 30 และ 90 กล่าวคือ เส้นที่ขีดทำมุมด้านซ้ายและขวา จะทำมุม 30 องศา ส่วนเส้นที่ขีดขึ้นหรือขีดลงจะเป็นมุม 90 องศา
2. เส้นที่ขีดจะเป็นเส้นขนานกันโดยตลอดคืนเส้นที่ทำมุมด้านซ้ายก็จะขนานกัน เส้นที่ลากด้านขวากจะขนานกัน และเส้นตั้งฉากก็จะขนานกัน
3. การเขียนเส้นระนาบเส้นแรกควรให้อยู่ด้านล่างเพราะภาพที่เขียนจะอยู่ด้านบนและควรคำนึงถึงความสูงของภาพที่จะเขียนด้วยเพื่อไม่ให้ภาพที่เขียนล้นกรอบกระดาษเขียนแบบ
4. ก่อนที่จะเขียนเส้นตั้งฉากจะต้องดูก่อนว่าภาพเอียงไปด้านใด หากภาพที่จะเขียนเอียงด้านซ้ายเส้นตั้งฉากจะต้องอยู่ด้านขวา เป็นต้น
2. เส้นที่ขีดจะเป็นเส้นขนานกันโดยตลอดคืนเส้นที่ทำมุมด้านซ้ายก็จะขนานกัน เส้นที่ลากด้านขวากจะขนานกัน และเส้นตั้งฉากก็จะขนานกัน
3. การเขียนเส้นระนาบเส้นแรกควรให้อยู่ด้านล่างเพราะภาพที่เขียนจะอยู่ด้านบนและควรคำนึงถึงความสูงของภาพที่จะเขียนด้วยเพื่อไม่ให้ภาพที่เขียนล้นกรอบกระดาษเขียนแบบ
4. ก่อนที่จะเขียนเส้นตั้งฉากจะต้องดูก่อนว่าภาพเอียงไปด้านใด หากภาพที่จะเขียนเอียงด้านซ้ายเส้นตั้งฉากจะต้องอยู่ด้านขวา เป็นต้น
ตัวอย่างภาพไอโซเมตริก
ที่มา : หนังสือเรียนงานช่างม.1-ม.3 สำนักพิมพ์วัฒนาพานิชย์
- การอ่านค่าความยาว งานเขียนแบบแบ่งการวัดขนาดเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ
1. ระบบนิ้ว ( ระบบอังกฤษ ) การวัดระบบนี้จะใช้หน่วยเป็นนิ้ว
2. ระบบเมตริก การวัดระบบนี้ใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตร เซนติเมตร เมตร
การเขียนแบบโดยทั่วไป ภาพที่เขียนแบบจะมีขนาดที่สัมพันธ์พอเหมาะกับขนาดกระดาษเขียนแบบเสมอ เมื่อมองภาพแล้วเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนสมบูรณ์ ฉะนั้นการเลือกใช้มาตราส่วนที่เหมาะสมกับขนาดกระดาษเขียนแบบ ผู้เขียนแบบจึงต้องควรคำนึงถึงมาก
- มาตราส่วน แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1. มาตราส่วนย่อ ( BRIEF SCALE ) เช่น 1 : 10 อ่านว่า หนึ่งต่อสิบ หมายถึง ของจริง 10 ส่วน เขียนลงในกระดาษเขียนแบบ 1 ส่วน
2. มาตราส่วนขยาย ( EXTENDED SCALE ) เช่น 10 : 1 อ่านว่า สิบต่อหนึ่ง หมายถึง ของจริง 1 ส่วน เขียนลงในกระดาษเขียนแบบ 10 ส่วน
3. มาตราส่วนเท่าของจริง ( FULL SCALE ) เช่น 1 : 1 อ่านว่า หนึ่งต่อหนึ่ง หมายถึง ของจริง 1 ส่วน เขียนลงในกระดาษเขียนแบบ 1 ส่วน
สำหรับการเขียนค่าของตัวเลขบอกขนาด ก็เช่นเดียวกันกับมุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้มาตราส่วนย่อหรือขยายก็ตาม การกำหนดขนาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ขนาดความยาวของวัตถุ 15 เซนติเมตร มาตราส่วนไม่ว่าจะย่อหรือขยาย การเขียนตัวเลขบอกขนาดก็เขียน 15 เซนติเมตรเท่าเดิม
ตัวอย่าง เช่นมาตราส่วนปกติ 1: 1 1 : 1 หมายความว่า ขนาดที่เขียนเท่ากับขนาดจริงของชิ้นงาน
- มาตราส่วนลดหรือย่อ 1 : 2, 1 : 5, 1 : 10, 1 : 20, 1 : 50, 1 : 100 1 : 200, 1 : 500, 1 : 1,000 , 1 : 2,000,1 : 5,000 1 : 10,000
1 : 2 หมายความว่าเป็นการเขียนย่อขนาดภาพให้เล็กลงเช่น ขนาดที่เขียน 10 มม. ขนาดจริง 20 มม.
- มาตราส่วนขยาย 2 : 1, 5 : 1, 10 : 1, 20 : 1, 50 : 1, 2 : 1 หมายความว่าเป็นการเขียนขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น เช่นขนาดที่เขียน 40 มม. ขนาดจริง 20
ขนาดที่เขียนแบบ ชิ้นงานจริง ที่มา : http://kruning.cocons.co.th/index.php/vocation/drawing/
- สำหรับการใช้ในกรณีพิเศษ มาตราส่วนขยาย หรือมาตราส่วนลด สามารถคูณ หาร ด้วยตัวเลขจำนวนเต็มของฐานสิบ หลาย
มาตรฐานการกำหนดขนาดมิติ ตาม DIN 406-11 และ DIN ISO 128-22
- ขนาดชิ้นงาน
- - กำหนดด้วยหน่วยมิลลิเมตร โดยไม่ต้องเขียนหน่วยลงไปในแบบ
- การกำหนดขนาดสำหรับหน่วยอื่น เช่น นิ้ว,เมตร ให้เขียนหน่วยลงไปในแบบด้วยการกำหนดขนาดประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ คือ
- เส้นช่วยบอกขนาด
- - มีความหนาเส้น 0.25 มิลลิเมตร เป็นเส้นเต็มบาง เขียนต่อจากขอบของชิ้นงาน และเขียนเลยหัวลูกศรประมาณ 2 มิลลิเมตร ส่วนมากเขียนตั้งฉากกับเส้นบอกขนาด
- - เส้นบอกขนาดมีความหนาเส้น 0.25 มิลลิเมตร เป็นเส้นเต็มบาง และมีหัวลูกศรบริเวณหัวและท้ายเส้น
- เส้นบอกขนาด จะเขียนเส้นตั้งฉากกับเส้นช่วยกำหนดขนาด
- เส้นบอกขนาดห่างจากขอบชิ้นงาน 10 มิลลิเมตร และมีระยะห่างระหว่างเส้นบอกขนาดด้วยกัน 7 มิลลิเมตร
- เส้นบอกขนาดเส้นที่สั้นที่สุดอยู่ใกล้แบบงานมากที่สุด
- การบอกขนาดที่มีทรงสมมาตร บอกตามแนวขวางเส้นศูนย์กลางที่อยู่เลยขอบชิ้นงานออกไปประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร ชิ้นงานที่เป็นแผ่นบางเขียนเพียงด้านเดียว ความหนาของวัสดุชิ้นงานให้ใส่ตัวอักษร T กำกับ
- ตัวเลขบอกขนาด
- ขนาดตัวเลขบอกขนาด มีขนาดอย่างน้อย 3.5 มิลลิเมตร ใส่ไว้เหนือเส้นบอกขนาด โดยอ่านได้จากข้างล่างหรือขวามือ เมื่อแบบอยู่ในตำแหน่งอ่าน (ทิศทางอ่านของหัวกระดาษ)
- กรณีที่มีเส้นขนานหลายเส้น หรือเส้นบอกขนาดอยู่ในแนวเดียวกัน ให้เขียนตัวเลยกำหนดขนาดสลับกับลูกศร
- ถ้าพื้นที่เขียนตัวเลขจำกัด อนุญาตให้เขียนเส้นชี้บอกขนาด หรือตัวเลขบอกขนาดไว้บนเส้นช่วยบอกขนาดที่ต่อเลยออกไป
- กรณีที่มีเส้นขนานหลายเส้น หรือเส้นบอกขนาดอยู่ในแนวเดียวกัน ให้เขียนตัวเลยกำหนดขนาดสลับกับลูกศร
- ถ้าพื้นที่เขียนตัวเลขจำกัด อนุญาตให้เขียนเส้นชี้บอกขนาด หรือตัวเลขบอกขนาดไว้บนเส้นช่วยบอกขนาดที่ต่อเลยออกไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น